
ประวัติทีม
อังกฤษถือว่าเป็นชาติที่มีประวัติเกี่ยวกับกีฬาฟุตบอลมาเนิ่นนานหรือเรียกได้ว่าเก่าแก่ที่สุดของชาติหนึ่งเลยก็ว่าได้ ทีมชาติฟุตบอลอังกฤษถูกจัดตั้งทีมชาติขึ้นมาพร้อมๆ กับการตั้งสมาคมฟุตบอลหรือเอฟเอรวมไปถึงกับการจัดตั้งทีมของสกอตแลนด์ในวันที่ 5 มีนาคม ค.ศ. 1870 และในวันที่ 30 พฤศจิกายน ค.ศ. 1872 ได้มีการจัดการแข่งขันระหว่างตัวแทนทีมชาติสกอตแลนด์และอังกฤษที่แฮมิตันเครสเซนท์ การแข่งขันครั้งนี้ถือเป็นการแข่งระดับนานาชาตินัดแรกเพราะทั้งสองนั้นได้มีการดำเนินการทุกอย่างแยกกันโดยอิสระไม่ได้ทำงานเป็นสมาคมเดียวกัน จากนั้น 40 ปีต่อมา อังกฤษได้มีการจัดการแข่งขันนัดพิเศษ บริติชโฮมแชมเปี้ยนชิป ระหว่างชาติ 4 ชาติ คือ อังกฤษ สกอตแลนด์ เวลส์ และไอซ์แลนด์ โดยการแข่งที่ผ่านมาอังกฤษจะไม่มีสนามเหย้าถาวร จนอังกฤษเข้าเป็นสมาชิกสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ หรือ ฟีฟ่า ในปี ค.ศ. 1906 และได้ลงเล่นแข่งขันกับระดับนานาชาติอื่นด้วย จากนั้นในปี ค.ศ. 1923 ได้มีการเปิดใช้สนามกีฬาเวมบลีย์เป็นสนามเหย้าของอังกฤษมาจนถึงปัจจุบัน อย่างไรแล้วอังกฤษเคยมีปัญหากับฟีฟ่าและขอถอนตัวไปในปี ค.ศ. 1928 ก่อนกลับเข้ามาร่วมเล่นอีกครั้งในปี ค.ศ. 1946 แต่ก็ทำให้อังกฤษไม่ได้เข้าร่วมเล่นฟุตบอลโลกจนกระทั่งปี ค.ศ. 1950 อังกฤษแพ้ให้กับสหรัฐอเมริกา ซึ่งถือเป็นการแพ้อย่างน่าอับอายในประวัติศาสตร์ที่ตราหน้าทีมชาติอังกฤษไว้เลยทีเดียว ปัจจุบันทีมชาติอังกฤษได้แชมป์ฟุตบอลโลกมาแล้ว 1 ครั้ง คือ ฟุตบอลโลก ปี 1966 ที่ประเทศอังกฤษได้เป็นเจ้าภาพเอง นอกจากนี้ทีมชาติอังกฤษยังได้อันดับที่ 2 ในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2020 มาครองอีกด้วย
ผลงานและการเข้าร่วมการแข่งขัน

เป็นที่ทราบกันอย่างดีว่าทีมชาติอังกฤษเคยชนะการแข่งขันฟุตบอลโลกมาแล้ว 1 ครั้งในปี 1966 นับจากการแข่งขันทั้งหมดทีมชาติอังกฤษเข้าฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายทั้งหมด 15 ครั้ง โดยอังกฤษเริ่มเล่นครั้งแรกในฟุตบอลโลก 1950 ถึงแม้จะผ่านเข้ารอบคัดเลือกแต่ตกรอบแรกไป หลังจากนั้นอังกฤษก็ไม่พลาดเลยสักแมตช์สามารถผ่านเข้ารอบคัดเลือกมาตลอดทุกปีต่อเนื่องกัน จนกระทั่งชนะเลิศในฟุตบอลปี 1966 แต่หลังจากนั้นในปี 1974 ,1988 ,1994 ทีมชาติอังกฤษก็ไม่ผ่านรอบคัดเลือกอีกเลย โดยฟุตบอลโลก 2006 ทีมชาติอังกฤษแพ้ให้กับโปรตุเกสจากการยิงจุดโทษ ฟุตบอลโลก 2010 ทีมชาติอังกฤษตกรอบ 16 ทีมสุดท้าย โดยแพ้ให้กับเยอรมนี ฟุตบอลโลก 2014 ทีมชาติอังกฤษตกรอบแรกเมื่อแข่ง 2 นัดเป็นฝ่ายแพ้ให้กับอิตาลี และแพ้ให้อุรุกวัยเช่นกัน ต่อมาในฟุตบอลโลก 2018 ทีมอังกฤษสามารถเข้ารอบรองชนะเลิศได้โดยจบอันดับที่ 4 ได้ในช่วงท้าย อีกทั้งยังนับเป็นครั้งที่ 3 ของทีมชาติอังกฤษที่สามารถเข้าถึงรอบรองชนะเลิศในการแข่งขันฟุตบอลโลกได้
ผู้เล่นในปัจจุบัน

1. แกเร็ธ เซาธ์เกต (ผู้จัดการทีม)
4. อารอน แรมส์เดล (ผู้รักษาประตู)
7. เบน ไวท์ (กองหลัง)
10. ดีแคลน ไรซ์ (กองกลาง)
13. แฮร์รี่ เคน (ตัวรุก)
16. ไคล์ วอล์คเกอร์ (กองหลัง)
19. ทรานด์ อเล็กซานเดอร์ (กองหลัง)
22. รีซ เจมส์ (กองหลัง)
25. เจดอน ซานโซ (กองกลาง)
28. ลุค ซอวฺ (กองหลัง)
2. แซม จอห์นสโตน (ผู้รักษาประตู)
5. คอเนอร์ โคดี (กองหลัง)
8. แจ็ค กรีลิซ (กองกลาง)
11. บูกาโย ซากา (กองกลาง)
14. คีแรน ทริปเปียร์ (กองหลัง)
17. ฟิล โฟเดน (กองกลาง)
20. จอร์แดน เฮนเดอร์สัน (กองกลาง)
23. เมสัน เมาท์ (กองกลาง)
26. ดีน เฮนเดอร์สัน (ผู้รักษาประตู)
29. มาร์คัส แรซฟอร์ด (ตัวรุก)
3. จอร์แดน พิคฟอร์ค (ผู้รักษาประตู)
6. ไทโรน มิงส์ (กองหลัง)
9. คัลวิน ฟิลลิปส์ (กองกลาง)
12. โดมินิค คัลเวิร์ต – ลูวิน (ตัวรุก)
15. จอห์น สโตนส์ (กองหลัง)
18. ราฮีม สเตอร์ลิง (ตัวรุก)
21. เบน ซิลเวิลล์ (กองหลัง)
24. จูด เบลลิงแอม (กองกลาง)
27. แฮร์รี แม็กไกวร์ (กองหลัง)
ภาพลักษณ์/ สนามแข่งขัน

สีและลักษณะชุดดั้งเดิมของทีมอังกฤษ คือ เสื้อเชิ้ตสีขาว กางเกงขาสั้นสีน้ำเงินกรมท่า และมีถุงเท้าสีขาวหรือสีดำ ชุดทีมเยือนชุดแรกของทีมอังกฤษจะเป็นสีน้ำเงินโดยชุดเยือนดั่งเดิมจะเป็นเสื้อเชิ้ตสีแดง กางเกงขาสั้นสีขาวและถุงเท้าสีแดง ต่อมาในปี 1996 ชุดเยือนของอังกฤษเปลี่ยนเป็นเสื้อเชิ้ตสีเทามีกางเกงขาสั้นและถุงเท้า แต่ชุดนี้ถูกให้สวมใส่เพียงแค่ 3 ครั้งเท่านั้นรวมกันการแข่งขั้นกับเยอรมนีรอบรองชนะเลิศยูโรในปี 1996 อังกฤษมักมีชุดที่ 3 บ้างเป็นครั้งคราว ในปี 1970 เวิลด์คัพอังกฤษได้เลือกสวมชุดที่ 3 กับเสื้อสีฟ้าอ่อน กางเกงขาสั้น ถุงเท้า กับสโลวาเกีย พวกเขานั้นมีชุดที่คล้ายกับทีมบราซิลมากๆ สำหรับผู้ให้การสนับสนุนชุดนั้นคือ Umbro ผลิตชุด 1954 ตั้งแต่ระยะเวลา 1959 -1965 , Bukta ระยะเวลา 1974 -1984 และต่อมา Nike ได้ซื้อ Umbro ในปี 2008 เข้ามาเป็นซัพพลายเออร์ชุดอย่างเป็นทางการในปี 2013
สนามกีฬาของทีมชาติอังกฤษคือ สนามกีฬาเวมบลีย์ หรือเรียกสั้นๆ ว่า เวมบลีย์ เป็นสนามที่ตั้งอยู่ในเวมบลีย์พาร์กในเบรนต์ ประเทศอังกฤษ เปิดเมื่อปี 2007 แต่สถานที่ดั่งเดิมที่เริ่มสร้างคือ ปี ค.ศ. 1923 มีความจุที่นั่งได้ถึง 90000 ที่นั่ง และถ้าหากยืนชมด้วยแล้วจามารถจุคนได้ถึง 105000 คน เลยทีเดียว สนามเวมบลีย์ถูกออกแบบโดย สถาปนิก บ. ฟอสเตอร์แอนด์พาร์ทเนอร์และป็อปปูลูออส ใช้ทุนก่อสร้างแพงที่สุดในโลก กว่า 798 ล้านปอนด์ ถือว่าเป็นสนามกีฬาที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ในยุโรปรองจากสนามกัมนอว์ของสโมสรฟุตบอลบาร์เซโลน่าและถือเป็นสนามเหย้าของทีมชาติอังกฤษด้วย

สถิติในการแข่งขัน
สถิติผู้ล่นที่ลงเล่นมากที่สุดได้แก่ ปีเตอร์ ชิลตัน ผู้รักษาประตู ระหว่างปี 1970 -1990 ลงเล่นไปทั้งหมด 125 นัด ,เวย์น รูนีย์ ระหว่างปี 2003-2016 ลงเล่นไปทั้งหมด 120 นัดเลยทีเดียว และ เดวิด เบคแคม ระหว่างปี 1996-2009 ลงเล่นทั้งหมด 115 นัด
สถิติผู้ล่นที่ลงเล่นที่ทำประตูได้สูงสุด คือ เวย์น รูนีย์ ระหว่างปี 2003-2018 ลงเล่น 120 นัด ทำประตูไปทั้งหมด 53 ประตู ถือว่าเป็นผู้เล่นที่ทำประตูได้มากที่สุดในประวัติศาสตร์ , บ็อบบี ชาร์ลตัน ระหว่างปี 1958 -1970 ลงเล่น 106 นัด ทำประตูได้ 49 ประตู และปี 1984 -1992 คือ แกร์รี ลินิเกอร์ ลงเล่น 80 นัด ทำประตูได้ 48 ประตู
เกียรติประวัติและผู้เล่นคนสำคัญ
เกียรติประวัติอันดับสูงสุดคือการที่ทีมชาติอังกฤษสามารถคว้ารางวัลชนะเลิศในฟุตบอลโลกได้เมื่อปี 1966 เป็นการแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งที่ 8 ที่จัดขึ้นที่ประเทศอังกฤษระหว่างวันที่ 11 กรกฎาคม – 30 กรกฎาคม ค.ศ. 1966 โดยประเทศอังกฤษได้รับเลือกให้เป็นเจ้าภาพจากฟีฟ่าเมื่อเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1960 เพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 100 ปี ในการจัดมาตรฐานของฟุตบอลในอังกฤษ

ผู้เล่นคนสำคัญ
1. แฮร์รี เคน (Harry Kane) กัปตันทีมชาติอังกฤษวัย 27 ปี หากพูดถึงสถิติในสนาม เราจะเห็นถึงความเก่งกาจของเขาเป็นอย่างมาก เขากำลังอยู่ในเส้นทางที่เป็นผู้ทำประตูได้สูงสุดของพรีเมียร์ลีกตลอดกาล ด้วยสถิติ 164 ประตูจากการแข่งขันถึง 240 นัด และเขาคือกองหน้าสเปอร์สผู้ถือธงแห่งชัยชนะอย่างแท้จริงที่เพิ่งพาอังกฤษเข้าชิงยูโร ในปี 2020 อีกด้วย
2. แฮร์รี แม็กไกวร์ (Harry Maguire) ปัจจุบันเป็นผู้เล่นของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในพรีเมียร์ลีกของอังกฤษ เขาคือหนึ่งในนักเตะที่ได้รับค่าตัวสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ด้วยราคา 80 ล้านปอนด์ ซึ่งเป็นสถิติโลกในตำแหน่งกองหลัง ฟอร์มการเล่นของแม็คไกวร์ได้รับคำชมอย่างมากเพราะเป็นฟอร์มการเล่นที่แข็งแกร่ง คุมแนวรับของทีมได้อย่างยอดเยี่ยม เขาคือหนึ่งในจิกซอว์ที่จะช่วยทำให้ทีมอังกฤษนั้นกลับมาทวงความยิ่งใหญ่อีกครั้งได้แน่นอน
3. ฟิล โฟเดน เชื่อว่าในศึกยูโรมักจะมีนักเตะน้องใหม่ที่มีฟอร์มการเล่นเก่งมากหลากหลายคน แต่สำหรับ ฟิล โฟเดน นักเตะกองกลางทีมแมนซิตี้หรือเรือใบสีฟ้าที่เรารู้จักกันดีนั้นยังคงอยู่ซึ่งเป็นกองกลางเพียงหนึ่งเดียวที่มีรูปแบบการเล่นได้ทั้งเกมรุกและรับได้ดีและจบสกอร์ได้อย่างยอดเยี่ยม ถึงเขานั้นจะอายุยังน้อย แต่ความสามารถของเขานั้นจะสามารถพาทีมคว้าแชมป์ได้อีกครั้งแน่นอน