
วันที่ 4 เม.ย.65 หลุยส์ ฟานกัลป์ กุนซือทีมชาติเนเธอร์แลนด์วัย 70 ปี ให้สัมภาษณ์ในงานโปรโมทสารคดีเกี่ยวกับชีวประวัติของเขาผ่านรายการโทรทัศน์ของประเทศเนเธอร์แลนด์ที่ชื่อว่า Humberto เมื่อเย็นวานอาทิตย์ที่ผ่านมา หลุยส์ ฟานกัลป์ อดีตกุนซือของ ปีศาจแดง แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด เปิดใจกับสื่อครั้งแรกว่า ตนป่วยเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก ขั้นรุนแรงแต่ยังพร้อมนำทัพ อัศวินสีส้มสู้ศึก ฟุตบอลโลก 2022 ณ ประเทศกาตาร์ ในเดือนพฤศจิกายน ที่จะถึงนี้ มั่นใจว่าครั้งนี้จะนำทัพเข้ารอบลึกๆ ใน ฟุตบอลโลก 2022 ได้แน่นอน และอาการป่วยไม่ใช่ปัญหาที่จะทำให้เขาอ่อนแอจนไม่สามารถนำทัพได้ ซึ่งตรงกันข้ามเขาเอ่ยว่าโรคร้ายนี้มันทำให้ผมสู้เพื่อจะพาทีมคว้าชัยชนะให้ได้ ผมคือผู้ชนะเหนือโรคร้ายที่คร่าชีวิตคนมานับไม่ถ้วนแล้ว
ผู้จัดการทีมชาติเนเธอร์แลนด์ เผยว่าหลังจากผมตรวจเจอโรคร้ายนี้เมื่อปี 2020 ผมก็ได้เข้ารับการรักษาด้วยการฉายรังสีมาแล้ว25 ครั้ง แต่ก็ยังรักษาไม่หายและต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์ต่อไป ผมคิดว่าคนที่เห็นแก้มแดงก่ำของผม มักจะคิดว่าผมสุขภาพดี แต่มันไม่ใช่เลย เพราะผมอยู่กับโรคนี้มานานจนมันกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตผมไปแล้ว ก่อนหน้านี้ผมเลือกที่จะไม่บอกอาการป่วยของผมให้แก่ลูกทีม เพราะอยากให้ทุกคนมีสมาธิกับฟุตบอล ถ้าบอกไปมันอาจจะส่งผลต่อการตัดสินใจของพวกเขาดังนั้นผมจึงคิดว่ามันเป็นเรื่องที่พวกเขาไม่ควรจะรู้ อีกอย่างมะเร็งต่อมลูกหมากถึงจะได้ชื่อว่าเป็นโรคร้ายแรง คร่าชีวิตคนมานับไม่ถ้วน แต่ผมเชื่อว่าตัวเองไม่ใช่1ใน90เปอร์เซ็นต์อย่างแน่นอน ผมจะทำให้เห็นว่าเรื่องร้ายๆที่มันเกิดขึ้นกับผมเป็นแค่เรื่องเล็กน้อยธรรมดา ผมต้องเข้มแข็งเพราะผมคือคนนำทัพถ้าผมอ่อนแอลูกทีมจะเกิดความกังวลและไม่มั่นใจจึงไม่แปลกว่าทำไมผลจึงเลือกที่จะเปิดเผยให้ลูกทีมรู้ ก่อนหน้านี้หลุยส์ ฟานกัลป์ เคยคุมทีมชาติเนเธอร์แลนด์มาแล้วสองครั้งตั้งแต่ปี 2000-2002 ที่จบด้วยการตกรอบคัดเลือกฟุตบอลโลก และปี 2012-2014 ทะลุถึงรอบชนะเลิศฟุตบอลโลกประเทศบราซิล ซึ่งครั้งนี้เป็นครั้งที่ 3โดยเข้ามาทำงานแทน แฟรงค์ เดอ บัวร์ ที่ลาออกหลังจบบอลยูโร 2020 และถือเป็นงานแรกของเขาในรอบ 5 ปี หลังจากถูกแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ปลดไปเมื่อปี2016เขาจะทำให้เห็นว่าศักดิ์ยภาพในการเป็นกุนซือของเขายังเต็มเหนี่ยวพร้อมอัดทุกแมทซ์การแข่งขัน

อย่างไรก็ตามศึกฟุตบอลที่กำลังจะมาถึงหลุยส์ ฟานกัลป์ กุนซือทีมชาติเนเธอร์แลนด์ พร้อมที่จะท้าชนกับทุกสนามแข่งเพื่อเป้าหมาย เพื่อชัยชนะที่เขาตั้งใจไว้ และเชื่อว่านี่คือการใช้ชีวิตประจำวันที่ปกติมากโรคร้ายนี้มันแค่ส่วนหนึ่งของเขามันไม่ใช่อุปสรรคในการนำทีมไปสู่จุดหมาย และถึงแม้จะเป็นงานแรกในรอบ 5 ปีของเขา ก็ไม่มีอะไรต้านพลังในการรักกีฬาฟุตบอลไปจากเขาได้เลย ถึงจะเป็นข่างช็อควงการลูกหนัง กุนซือหลายทีมหรือแม้แต่คนในวงการนี้จะมองเขาในแง่ลบถึงเรื่องโรคร้ายนี้ เขาก็ไม่หวั่นกับคำเหล่านั้นที่พูดถึงเรื่องโรคร้ายที่กลายเป็นเรื่องธรรดาหนึ่งในชีวิตของเขาไปแล้ว และด้วยสปรีริตอันแรงกล้าในจะพาทีมไปสู่เป้าหมายอันสูงสุดทำให้ทีมชาติเนเธอร์แลนด์แข็งแกร่งมากขึ้นอีกด้วย